TUKEMD

__TUKEMD__ชื่อบ้าน อ่านว่า ตุ๊ก-เอ็ม-ดี นะจ๊ะ เป็นชื่อในเน็ตของแม่ตุ๊กเองค่ะ

บ้านหลังน้อย หลังนี้เป็นของแม่ตุ๊ก,น้องมะปราง และ คุณป๋า

เป็นบล็อกเพื่อบันทึกความสุข ความทรงจำ ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆของครอบครัวเราค่ะ



2557/03/16

3.ทะเลเมืองกาญจน์-วัดพระแท่นดงรัง-พิพิธภัณฑ์ หมา แมว- ตาเบบูญ่ากำแพงแสน

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2557


17:00 น. เดินทางมาถึงที่พัก รอยัล ริเวอร์แคว รีสอร์ท แอนด์ สปา (Royal River kwai Resort & Spa)





ฝนตกหนัก รีบเข้าห้องพักกันก่อนค่ะ ภายในห้องมาตรฐาน ดับเบิลเบด ขนาดกว้างดี
 สไตล์ทรอปิคอล ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ 



ระเบียงห้องมองเห็นสระว่ายน้ำ
พอฝนหยุดมะปรางก็รีบไปเล่นน้ำทันที



ฝนตกตลอดเลยต้องทานอาหารเย็นใน รร.ค่ะ ที่ Klou Lad Thong Restaurant




อาหารราคาสูงพอควร ทานอาหารเสร็จก็เข้านอนกันเลย เพราะวันนี้ใช้พลังงานเที่ยวเยอะมากค่ะ



วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม 2257

ตื่นแต่เช้า ออกมาเดินเล่นในรีสอร์ท





ตกแต่งสวยงามและสะอาดดีค่ะ



อยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่





อาหารเช้ามีไม่มากค่ะ รสชาติใช้ได้



เวลา 8:30 น.เช็คเอ้าท์ ออกเดินทางต่อ ไป สะพานข้ามแม่น้ำแคว ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือ 
ตามทางหลวงหมายเลข 323 ประมาณ 4 กิโลเมตร แยกซ้ายประมาณ 400 เมตร 



The Bridge of the River Kwai




 เป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2




ใช้เวลาสร้างเพียง 1 เดือน โดยนำเหล็กจากมลายูมาประกอบเป็นชิ้น ๆ 
ตอนกลางทำเป็นสะพานเหล็ก 11 ช่วง หัวและโครงสะพานเป็นไม้



ปัจจุบัน มีการยกย่องให้เป็น สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ



                เดินไปตามสะพานแล้วมองลงไปในแม่น้ำ..น่ากลัวตกเหมือนกันค่ะ ดีว่ายังไม่มีรถไฟผ่านมา





 เดินทางต่อไปที่ "สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก" 
ตั้งอยู่ริมถนนแสงชูโต (ทางหลวงหมายเลข 323) ก่อนจะเข้าตัวเมือง 




เป็นสุสานของเชลยศึกสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตในระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ 
สุสานแห่งนี้บรรจุศพทหารเชลยศึกถึง 6,982 หลุม 



 บริเวณสุสานมีเนื้อที่กว้างขวางสวยงามเขียวขจีไปด้วยต้นหญ้าที่ได้รับการปลูกและดูแลเป็นอย่างดี





วัดถาวรวราราม  (เค่งซิ่วหยี่)    ชาวบ้านนิยมเรียกสั้นๆว่า “วัดญวน  เป็นวัดใพระพุทธศาสนา
ลัทธิมหายาน  มีชื่อตามภาษาญวนว่า  คั้นถ่อตื่อ   แปลเป็นไทยได้ว่า   อยู่อย่างมั่นคงถาวร   
ตั้งอยู่ที่บ้านโรงหีบ  เลขที่  ๓   ถ"เจ้าขุนเณร   ต.บ้านเหนือ  อ.เมืองกาญจนบุรี   จ.กาญจนบุรี  




 สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่(รัชกาลที่ 3) 
 ถือเป็นวัดญวนแห่งแรกของจังหวัดกาญจนบุรี  มีอายุกว่าร้อยปี




ไปไหว้พระภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน  “พระพุทธสถาพรมงคล”  
ฝนตกตลอด เราเลยไม่ได้เดินชมส่วนอื่นของวัดค่ะ




ทะเลน้ำจืด ท่าล้อ ตั้งอยู่ที่ ต.ท่าล้อ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี  ทางเข้าอยู่ข้างวัดท่าล้อ
 พัฒนาโดย โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์องค์การบริหารส่วนตำบลท่าล้อ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี  



ดูคล้ายทะเล มีหาดทราย มองออกไปเป็นภูเขา ทำให้เห็นทัศนียภาพที่สวยงา




บริเวณหาดทรายนั้น มีบริการเตียงผ้าใบ ร่ม ห่วงยาง เสื้อชูชีพ เรือถีบ เรือพาย เจ็ตสกี และ สั่งอาหาร
มาทานได้ด้วย เหมือนไปนั่งริมทะเล  แต่คุณป๋าบอกว่ามันดูรกและบดบังวิวธรรมชาติที่สวยงาม
 เหลือทางลงไปหาดแคบนิดเดียว



เป็นหาดทรายที่อยู่ติดกับแม่น้ำแม่กลอง ชายหาดมีความยาวประมาณ 500 เมตร ลาดลงสู่แม่น้ำแม่กลอง 



มีคลื่นจากลมพัดเข้าฝั่งเหมือนทะเล




ทะเลน้ำจืดเมืองกาญจน์




มีคนเล่นเจ็ตสกีน้ำกระจาย







แวะไหว้พระที่วัดท่าล้อค่ะ







ขับรถต่อมาถึง "วัดพระแท่นดงรังวรวิหาร"  
ตั้งอยู่ที่ ถนนทางหลวง 3081 ต.พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี

ผ่านประตูเข้าไปทางซ้ายมือเป็นบริเวณทางขึ้นเขาถวายพระเพลิง อยู่บริเวณเชิงเขาลูกเตี้ยๆ เป็นสถานที่สมมุติเป็นที่ถวายพระเพลิงสรีระพระพุทธองค์ เชิงบันไดประดับด้วยนาคเจ็ดเศียร ซึ่งทอดตัวไปสู่ยอดเขา



วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาป่าไม้เต็งรังและไม้เบญจพรรณอื่นๆ 
อันเป็นบริเวณเดียวกันกับ “พุทธสถานพระแท่นดงรัง” ที่ประดิษฐาน “พระแท่นดงรัง” 
ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญทางพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่งของประเทศไทย




                          “พระประธานในพระอุโบสถ”และ ภาพพุทธประวัติ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง



ทางซ้ายมือของพระอุโบสถ จะมี "พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านพระแท่นดงรัง"




มีการจัดแสดงเครื่องมือการทำอาชีพของคนในชุมชนในอดีต เช่น เครื่องมือจับปลา เครื่องมือเกี่ยวกับ
การทำนา เครื่องใช้ในบ้าน ส่วนใหญ่ทำจากไม้ 






 วิหารพระสังกัจจายน์ ด้านในตกแต่งแบบจีน



 พระสังกัจจายน์ องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หรือ “หลวงพ่อโต” 





ขึ้นไปชม พิพิธภัณฑ์ หมา-แมว ที่ชั้น 2 กันค่ะ



มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย




มีของสะสมและตุ๊กตามากมาย 







                                                      ถูกใจแม่ตุ๊กและมะปรางมากๆๆ






พระราชวิสุทธาภรณ์ เป็นผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์






พวกเราใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์นี้นานมาก...มีความสุขค่ะ




ออกไปเดินชมสถานที่สำคัญภายในวัดกันค่ะ  ที่นี่มีปูชนียสถานและปูชนียวัตถุต่างๆ ที่เกี่ยวพุทธประวัติ

หอพระธาตุ 



บ่อบ้วนพระโอษฐ์ ตั้งอยู่ด้านหลังวิหารพระแท่นดงรัง เป็นบ่อบนกองศิลาลูกเตี้ยๆ เป็นสถานที่สมมุติเป็นที่บ้วนพระโอษฐ์ที่พระองค์ทรงพระอาเจียนลงพระโลหิตก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน




วิหารหินบดยา หรือ วิหารทรมานพระกาย ตั้งอยู่ด้านข้างวิหารพระแท่นดงรัง ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางทุกข์กริยา ด้านหน้าองค์พระเป็นแท่นหินบดยา 
ที่สมมุติเป็นแท่นหินที่หมอพราห์มชีวกโกมารภัจจ์ ใช้บดยาเพื่อรักษาพระพุทธองค์




วิหารจัตุรมุข ตั้งอยู่ด้านข้างวิหารบดยา ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไม้ประดับมุข 
สมัยพระเจ้าบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา



พระพุทธบาทประดับมุกเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย 
องค์พระพุทธบาทมีความงดงามและแปลกตา รอยพระพุทธบาทไม้แกะสลักนี้เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรเคย
ได้ตรวจสอบร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ สันนิษฐานว่ามีอายุประมาณ 300 กว่าปี 
และเป็นฝีมือของช่างหลวงสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ



 ภายในรอยพระบาทประดับมุข ประดับด้วยลายมงคล 108 ประการ ซึ่งเป็นลายเดียวกับพระพุทธบาท
ที่เขียนบนผ้า ซึ่งพระเจ้าบรมโกศได้มอบเป็นเครื่องราชบรรณาการ เพื่อเจริญพระราชไมตรี
แก่กษัตริย์ศรีลังกา เมือปีพ.ศ. 2299



วิหารพระอานนท์ เป็นวิหารขนาดเล็ก ตั้งอยู่บนลานประทักษิณของวิหารพระแท่นดงรัง 
ภายในประดิษฐานพระอานนท์ ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากของพระพุทธองค์



วิหารพระแท่นดงรัง เป็นวิหารก่ออิฐถือปูน ชั้นเดียว ภายในประดิษฐาน พระแท่นบรรทม เนื้อศิลา

 เดิมทีมีต้นรัง 2 ต้น ขึ้นอยู่ด้านพระแท่น โดยโน้มยอดเข้าหากัน



                                     “หลวงพ่อพระแท่น” ณ พุทธสถานพระแท่นดงรัง 




พระแท่นบรรทม  ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารพระแท่นดงรัง เป็นพระแท่นบรรทมศิลา 
ที่เล่าขานกันแต่โบราณว่า เป็นพระแท่นที่ดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์



พระแท่นเป็นหินแท่งทึบหน้าลาดคล้ายแท่น หรือเตียงนอน ต่ำข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่ง มีขนาดยาว ๑๑ ศอก 
๑ คืบ กว้าง ๔ ศอกเศษ ด้านล่างป็นปูนปั้นรองแท่น มีหินวางทับซ้อนกันอยู่ มองดูคล้ายพระเขนย (หมอน)  






ตอนนี้เริ่มเย็นแล้วค่ะ ขับรถต่อไปที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม
 ทุกๆ ปีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม “ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์”  จะพากันออกดอกสีชมพูบานสะพรั่ง




แม่ตุ๊กหาข้อมูลว่าปีนี้บานช้ากว่าทุกปี เพิ่งเริ่มบานมาสัก 2 อาทิตย์ เลยลองมาดูน่าจะยังโรยไม่หมด




เห็นแล้วชื่นใจค่ะ..ไม่ผิดหวังเลย ดอกยังไม่โรย สีชมพูตลอด 2 ข้างทาง




ชมพูพันธุ์ทิพย์” หรือชื่อเรียกอื่นๆ คือ ชมพูอินเดีย, ธรรมบูชา, ตาเบบูญ่า เป็นไม้ขนาดใหญ่มีดอก 3 สี คือ ชมพูอ่อน, ชมพูเข้ม และ ขาว จะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เดือนมีนาคม 
โดยจะบานประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนที่ดอกจะร่วงโรยไป





วันนี้อากาศดีค่ะ ไม่ร้อน มะปรางวิ่งเล่นอย่างมีความสุข




 จุดเด่นของที่นี่คือ ปลูกสองข้างทางเป็นแนวยาว บริเวณริมถนนวัฒนา เสถียรสวัสดิ์ มากกว่า 200 ต้น 
เมื่อถึงเวลาออกดอกถนนทั้งสายจะเป็น “ถนนสายสีชมพู”



ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่นี่มีอายุกว่า 30 ปีแล้ว เริ่มปลูกมาพร้อมๆ กับที่จัดตั้งวิทยาเขตกำแพงแสนแห่งนี้





ดอกสีชมพูอ่อน





เดินเล่นเป็นชั่วโมงก็ไม่เบื่อเลยค่ะ





เพิ่งจัดงาน PINK DAY เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเองค่ะ



เดินทางกลับบ้านค่ะ ระหว่างทางก็พบกับ ตาเบบูญ่าเหลือง( เหลืองปรีดียาธร )เป็นสายพันธ์เดียวกับต้นชมพูพันธ์ทิพย์ เป็นต้นไม้ที่ท่านหม่อมพันธ์ทิพย์ บริพัตร นำมาจากอินโดนีเชีย ดอกสีชมพู จึงตั้งชื่อว่า "ชมพูพันธ์ทิพย์"